นายกฯ /ผอ.รมน. มอบสัญญาเช่าที่ดิน โครงการนำร่องหนองวัวซอ โมเดล มุ่งสร้างความมั่นคง พัฒนาคุณภาพชีวิต และสร้างรายได้ให้กับประชาชน

News Update social

วันนี้ (19 ก.พ. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ผอ.รมน.) ได้เป็นประธานในพิธีมอบสัญญาเช่าที่ดินโครงการนำร่อง “หนองวัวซอโมเดล” ของกองทัพบก ณ ที่ว่าการอำเภอหนองวัวซอ จ.อุดรธานี ซึ่งโครงการดังกล่าว เป็นความร่วมมือระหว่าง กอ.รมน. กองทัพบก และ กรมธนารักษ์ โดยถือเป็นโครงการนำร่อง ตามนโยบายเร่งด่วนของ นายกรัฐมนตรี/ผอ.รมน. ในการบริหารจัดการที่ดินในความรับผิดชอบของกองทัพให้ประชาชนใช้ประโยชน์ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างยั่งยืน

เวลา 10.00 น. นายกรัฐมนตรี/ผอ.รมน. ได้เดินทางมาถึงที่ว่าการอำเภอหนองวัวซอ โดยมีคณะผู้บริหารระดับสูงรอให้การต้อนรับ ได้แก่ นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง พลเอก สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผบ.ทบ./รอง ผอ.รมน. พล.อ.อุกฤษฏ์ บุญตานนท์ ผู้ช่วย ผอ.รมน. พล.อ. ธราพงษ์ มะละคำ ที่ปรึกษา กอ.รมน. พล.อ. พนา แคล้วปลอดทุกข์ เลขาธิการ กอ.รมน. นายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัด/ผอ.รมน.จังหวัดอุดรธานี และพลโท อดุลย์ บุญธรรมเจริญ แม่ทัพภาคที่ 2 ฯลฯ ซึ่งนายกรัฐมนตรี/ผอ.รมน. ได้กล่าวทักทายข้าราชการและประชาชน และเยี่ยมชมนิทรรศการของกรมธนารักษ์ กอ.รมน. และกรมทหารช่าง เกี่ยวกับการบริหารจัดการพื้นที่ในโครงการหนองวัวซอ

ต่อมา นายกรัฐมนตรี/ผอ.รมน. ได้กล่าวเปิดงานในพิธีมอบสัญญาเช่าที่ดินฯ โดยกล่าวว่านโยบายการบริหารจัดการที่ดินของกองทัพ เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของนายกรัฐมนตรีตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ทั้งนี้ เข้าใจดีว่าพื้นที่ของกองทัพเป็นพื้นทางความมั่นคงที่มีความสำคัญ ขณะที่ยังมีพี่น้องประชาชนที่ขาดแคลนพื้นที่ทำกิน จึงต้องหาพื้นที่บางส่วนที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ของกองทัพมาจัดสรรให้กับประชาชนที่ยังขาดแคลนที่ดินทำกินอย่างสมดุล ขอบคุณที่กองทัพ กรมธนารักษ์ และกอ.รมน. ที่สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว ภายในเวลา 4-5 เดือน จัดหาที่ดินได้กว่า 9,000 กว่าไร่ มีประชาชนกว่า 500 ครอบครัว ได้รับประโยชน์

โดยพื้นที่เหล่านี้ รัฐบาลไม่ได้ให้สิทธิทำกินอย่างเดียว แต่ดูแลเรื่องทรัพยากรน้ำในพื้นที่ให้ด้วย ซึ่งในโครงการหนองวัวซอนี้ จะมีน้ำกินน้ำใช้อย่างเพียงพอสำหรับการทำเกษตรกร และการประกอบอาชีพของประชาชน รวมถึงยังสามารถนำไปคำ้ประกันสัญญาเงินกู้กับสถาบันการเงิน เพื่อนำมาใช้เป็นทุนเพิ่มได้อีกด้วย จึงขอแสดงความยินดีกับพี่น้องประชาชนที่ได้รับสิทธิการเช่าที่ดินโครงการหนองวัวซอโมเดล เชื่อมั่นว่าจะช่วยสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน เพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชน สร้างโอกาส เพิ่มรายได้และความเสมอภาคทางสังคม ตามเป้าหมายของรัฐบาลในการสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในทุกมิติ โครงการหนองวัวซอจะเป็นโมเดลนำร่องที่ถูกนำไปปรับใช้เป็นต้นแบบการดำเนินการในที่ดินราชพัสดุในความครอบครองของกองทัพแปลงอื่นต่อไป เพื่อทำให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน มีความมั่นคงในอาชีพและรายได้ ซึ่งจะนำไปสู่ความเป็นอยู่ที่ดี คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

จากนั้น นายกรัฐมนตรี/ผอ.รมน. และคณะ ได้ร่วมมอบสัญญาเช่าฯ ให้แก่ผู้เช่าที่ราชพัสดุ โครงการหนองวัวซอโมเดล จำนวน 434 ราย พร้อมกับทักทายประชาชนที่มารับสัญญาเช่าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

โครงการหนองวัวซอโมเดล มีที่ตั้งใน อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี มีเนื้อที่รวมประมาณ 9,267 ไร่เศษ ปัจจุบันได้ดำเนินการจัดสรรที่ดินให้กับประชาชน โดยมีประชาชนได้รับประโยชน์ จำนวน 434 ราย รวม 578 แปลง แบ่งเป็นที่อยู่อาศัย 104 แปลง เพื่อการเกษตร 474 แปลง ซึ่งนอกจากการให้ประชาชนเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินของกองทัพแล้ว นายกรัฐมนตรี/ผอ.รมน. ได้สั่งการให้ กอ.รมน. บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการสร้างคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนในพื้นที่ เช่น การปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐานและการชลประทานโดยกรมการทหารช่าง การสร้างองค์ความรู้การบริหารจัดการด้านการเกษตรและพัฒนาอาชีพโดย กอ.รมน.จังหวัดอุดรธานี ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาความยากจนในพื้นที่ ลดต้นทุน สร้างรายได้ เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่

โดย กอ.รมน. จะร่วมบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขยายผลการบริหารจัดการที่ดินในความครอบครองของกองทัพให้ประชาชนใช้ประโยชน์ โดยยึด “หนองวัวซอโมเดล” เป็นต้นแบบ ในพื้นที่อื่น ๆ ของกองทัพ ซึ่งในระยะแรก นอกเหนือจากโครงการหนองวัวซอแล้ว ยังมีพื้นที่อื่น ได้แก่ พื้นที่ของกองบัญชาการกองทัพไทย บริเวณบ้านแก่งประลอมและบ้านพุราด อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี, พื้นที่ของกองทัพอากาศ บริเวณสนามบินนครพนม จ.นครพนม และพื้นที่ของกองทัพเรือ บริเวณป้อมพระจุลจอมเกล้า จ.สมุทรปราการ ทั้งนี้ เพื่อให้การใช้ที่ดินของประเทศเกิดประโยชน์สูงสุด ตามนโยบายของรัฐบาล ต่อไป