ทุก 5 ปี ประเทศไทยจะมีการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย (National Health Examination Survey) เพื่อสำรวจข้อมูลความชุกของโรคเรื้อรังที่สำคัญ และอุบัติการณ์ของโรคที่ยังเป็นปัญหา เพื่อเป็นข้อมูลให้กับผู้กำหนดนโยบายนำไปใช้ในการวางแผนป้องกัน ควบคุมโรค และส่งเสริมสุขภาพประชาชน สำหรับครั้งล่าสุด หรือครั้งที่ 7 พ.ศ. 2567-2568 ที่ดำเนินการโดย คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับเครือข่ายมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ และได้รับการสนับสนุนโดย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มีประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ นั่นก็คือ การรุกคืบของ “บุหรี่ไฟฟ้า” ในเด็กและเยาวชนที่กำลังกลายเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ
เนื่องจากข้อมูลผลการสำรวจสุขภาพฯ ที่มีการนำเสนอภายในงาน “เปิดข้อมูลสถานการณ์บุหรี่ไฟฟ้า : ประเทศไทยจะเดินต่ออย่างไร?” ซึ่งจัดขึ้นโดย สวรส. ร่วมกับ สสส. คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น ระบุว่า ปัจจุบันแนวโน้มการสูบบุหรี่ในกลุ่มคนที่อายุน้อยกว่า 30 ปี มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะวัยรุ่นหญิงที่มีอัตราการสูบบุหรี่เพิ่มขึ้นสูงกว่าชาย ซึ่งน่าจะเป็นผลจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้า ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในกลุ่มวัยรุ่นอายุ 15-29 ปี โดยมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 3.6% ในปี 2563 เป็น 8.4% ในปี 2568 ขณะที่กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป กลับมีแนวโน้มการสูบบุหรี่ลดลง และการสูบบุหรี่เป็นประจำยังมีแนวโน้มลดลงเช่นกัน ส่วนระดับภูมิภาค ภาคใต้ยังเป็นภาคที่มีการสูบบุหรี่เป็นประจำสูงที่สุด และเป็นภาคที่มีร้อยละของประชาชนที่ได้รับควันบุหรี่มือสองจากที่บ้านสูงสุด ด้านกรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นพื้นที่ที่พบการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มวัยรุ่นสูงที่สุด รองลงมาคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ตลอดจนพบด้วยว่าการได้รับควันบุหรี่มือสองที่บ้าน ที่ทำงาน และร้านอาหารมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ในโรงเรียน สถานบริการสุขภาพ และสถานที่ราชการมีแนวโน้มลดลงเล็กน้อย
รศ.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล หัวหน้าโครงการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 7 กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า จากข้อมูลที่สำรวจยังยืนยันถึงข้อเท็จจริงสำคัญคือ บุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ลดอันตรายจากบุหรี่มวนลง อีกทั้งยังไม่ทำให้ภาพรวมของอัตราการสูบบุหรี่ของประเทศลดลง และในระดับประชากรยังมีอัตราเพิ่มขึ้นด้วย โดย 5 ปีก่อน มีคนสูบบุหรี่ไฟฟ้าราว 5 แสนคนเท่านั้น ขณะที่ปัจจุบันเพิ่มขึ้นมาถึง 1.7 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านคน และในจำนวนนี้มีอยู่ 44% ที่สูบทั้งบุหรี่ไฟฟ้าและบุหรี่มวน
“ถ้าย้อนดูข้อมูลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยย้อนหลังไป 20 ปี หรือตั้งแต่ครั้งที่ 3-7 จะเห็นว่าอัตราการบริโภคยาสูบในช่วงที่มีการสำรวจใน 10 ปีแรก ซึ่งยังไม่มีบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาในไทย อัตราการบริโภคยาสูบในคนไทยมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่พอหลังจากที่มีบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาระบาดในไทย ตั้งแต่ปี 2557 อัตราการบริโภคยาสูบในช่วงดังกล่าวมีอัตราที่น้อยลงกว่า 10 ปีก่อนหน้าอย่างชัดเจน ส่วนจำนวนคนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้ามีเพิ่มมากขึ้น” รศ.พญ.เริงฤดี ระบุ
นอกจากนี้บุหรี่ไฟฟ้ายังทำให้มีนักสูบหน้าใหม่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและวัยรุ่น รวมถึงช่วงอายุที่เริ่มสูบครั้งแรกก็น้อยลง เช่น ในกลุ่มอายุ 10-14 ปี อายุเฉลี่ยที่เริ่มสูบบุหรี่ไฟฟ้าครั้งแรกคือ 11 ปี และไม่เพียงเท่านั้น จากจำนวนผู้ที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าทั้งหมดในปัจจุบัน มีถึง 5 แสนคน ที่เพิ่งเริ่มสูบครั้งแรกในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งนับตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา จำนวนนักสูบหน้าใหม่ที่เริ่มสูบด้วยบุหรี่ไฟฟ้ายังมีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่าบุหรี่มวน และขณะนี้สูงกว่าถึง 3 เท่าแล้ว ส่วนถ้ารวมทั้งบุหรี่มวนและบุหรี่ไฟฟ้า ปัจจุบันไทยมีนักสูบหน้าใหม่มากกว่า 7 แสนคน
รศ.พญ.เริงฤดี กล่าวต่อว่า สำหรับเหตุผลหลักของคนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า ไม่ใช่เพื่อการเลิกบุหรี่มวน เหมือนที่กลุ่มธุรกิจที่ค้าขายบุหรี่ไฟฟ้ามักกล่าวอ้าง โดยในกลุ่มอายุ 10-14 ปี และ 15-19 ปี กว่า 70% เลือกสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพราะเห็นเพื่อนสูบ ด้านช่องทางการหามาครอบครอง ถ้าเป็นกลุ่มเด็กจะได้มาจากเพื่อน ส่วนถ้าเป็นเด็กโตจะหาซื้อจากช่องทางออนไลน์
“อีกประเด็นที่น่าสนใจ ในการสำรวจสุขภาพฯ มีการถามกับกลุ่มตัวอย่างว่า รู้สึกอย่างไรกับธุรกิจยาสูบ โดยคำถามหนึ่งถามว่า เชื่อหรือไม่ว่าบริษัทบุหรี่บิดเบือนความจริงเกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า โดย 1 ใน 3 ของวัยรุ่นอายุ 15-24 ปี ไม่เชื่อว่าบริษัทบิดเบือน ซึ่งในภาพรวมระดับภูมิภาคก็มีความเชื่อมโยงกัน คือในภูมิภาคที่มีคนตอบว่าไม่เชื่อ จะมีอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าที่สูงกว่าภาคอื่นตามลำดับ” รศ.พญ.เริงฤดี กล่าวเสริม
อย่างไรก็ดี เนื่องจากการสำรวจสุขภาพฯ มีการเก็บข้อมูลตั้งแต่ ก.ย. 2567 – เม.ย. 2568 ซึ่งในช่วงต้นปี 2568 รัฐบาลมีการเดินหน้าปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจัง ทีมวิจัยจึงนำข้อมูลมาเปรียบเทียบระหว่างก่อนและหลังรัฐบาลมีการคุมเข้มมากขึ้น และพบว่าสัดส่วนคนสูบบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กมีความแตกต่างกันพอสมควร เพราะฉะนั้นถ้ามีการดำเนินการลักษณะดังกล่าวอย่างต่อเนื่องน่าจะมีผลที่ดี
ด้าน ผศ.ดร.จรวยพร ศรีศศลักษณ์ รองผู้อำนวยการ สวรส. กล่าวว่า การสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายที่ สวรส. และ สสส. ร่วมกันสนับสนุนให้เกิดการดำเนินการทุกๆ 5 ปี ถือเป็นหนึ่งในข้อมูลเชิงประจักษ์ที่สำคัญ ซึ่งใช้กระบวนการทางวิชาการในการสำรวจ เพื่อสนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้กำหนดนโยบายนำไปใช้ในการอ้างอิงสำหรับดำเนินการแก้ไขปัญหาทางสุขภาพในช่วงนั้นๆ ของประเทศ เพื่อช่วยลดจำนวนคนป่วยหรือป้องกันคนที่เสี่ยงจะป่วย ไม่ให้ป่วยหรือตาย อันจะส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลของประเทศไม่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งบุหรี่มวนและบุหรี่ไฟฟ้า เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคถุงลมโป่งพอง และโรคมะเร็งปอด ที่เป็นสาเหตุของการป่วยและเสียชีวิตในคนไทยจำนวนมากตลอดหลายปีที่ผ่านมา จึงเป็นหนึ่งประเด็นสำคัญที่ต้องทราบสถานการณ์ในการสำรวจสุขภาพครั้งนี้ด้วย และจากข้อมูลที่พบ โดยเฉพาะสถานการณ์การสูบบุหรี่ไฟฟ้าของคนไทยอายุ 15-29 ปี ที่ปัจจุบันมีมากถึง 1.2 ล้านคน ได้กลายเป็นภาพสะท้อนว่า ถ้ายังไม่รีบแก้ไข ต่อไปในอนาคตระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจะมีภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นจำนวนมาก

รองผู้อำนวยการ สวรส. กล่าวอีกว่า หลังจากนี้ทีมนักวิจัย จะมีการนำประเด็นต่างๆ ที่มีการแลกเปลี่ยนข้อเสนอเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ นำไปสังเคราะห์เป็นข้อเสนอเชิงนโยบาย และ สวรส. จะนำมาพัฒนาต่อเพื่อเสนอร่วมกับข้อเสนออื่นๆ ในการแก้ไขปัญหาสุขภาพคนไทยในเชิงระบบ และนำเสนอต่อทุกพรรคการเมือง เพราะในปี พ.ศ. 2569 กำลังจะมีการเลือกตั้งใหญ่
“ข้อเสนอเชิงนโยบายในเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า คาดว่าจะอยู่ภายใต้ 3 กรอบหลักคือ B-E-A โดยบุหรี่ไฟฟ้าต้องเป็นสิ่งผิดกฎหมายเท่านั้น และห้ามให้มีการซื้อขายโดยเด็ดขาด (Ban) การบังคับใช้กฎหมาย (Enforcement) ต้องมีความเข้มข้น พร้อมกับเผยแพร่ให้คนรับรู้ถึงการปราบปรามที่เกิดขึ้น เพื่อให้สังคมเกิดการตระหนัก และการขับเคลื่อนองค์ความรู้ (Advocate) กระจายข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า ผ่านกลไกรัฐสภา กรรมาธิการสาธารณสุขวุฒิสภา รวมถึงในสื่อสังคมออนไลน์”
ผศ.ดร.จรวยพร กล่าวเพิ่มเติม
ทั้งนี้ภายในเวทีดังกล่าว ยังได้มีการเสวนาหัวข้อ “ทิศทางนโยบายจัดการบุหรี่ไฟฟ้าของประเทศไทย: ประเทศไทยจะเดินต่ออย่างไร?” โดยช่วงหนึ่ง พญ.ดวงพร ปิณจีเสคิกุล ผู้อำนวยการสำนักอนามัย กทม. กล่าวถึงทิศทางการแก้ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในเมืองหลวงว่า แม้การดำเนินการที่ผ่านมา กทม. จะให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า เช่น การตั้งคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งต่อมาได้กำหนดมาตรการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าในพื้นที่ กทม. การออกประกาศ 2 ฉบับ เพื่อควบคุม และเฝ้าระวัง ป้องกัน รวมถึงแก้ไขปัญหายาเสพติด กัญชา กัญชง กระท่อม บุหรี่ และบุหรี่ไฟฟ้าในโรงเรียน 437 แห่ง การพัฒนา List map ร้านค้า หรือบริเวณที่มีการขายบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อทำการหมุนเวียนเข้าไปตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ ฯลฯ แต่ยังมีความท้าทายและปัญหาอุปสรรคอยู่ ดังจะเห็นได้จากข้อมูลที่ปรากฏในการสำรวจสุขภาพฯ ครั้งนี้ที่ชี้ชัดว่า กทม. มีการสูบบุหรี่ไฟฟ้าสูงที่สุด โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชน ดังนั้นก้าวต่อไปของ กทม. จึงจำเป็นต้องมีการดำเนินการใน 4 ส่วนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการให้ดียิ่งขึ้น ได้แก่ 1) การเสริมภูมิคุ้มกัน สร้างความรู้เท่าทันให้เด็กและเยาวชน 2) การกำหนดมาตรการทางสังคม เช่น กลไกชุมชน โรงเรียน 3) การควบคุมพื้นที่สาธารณะให้เป็นเขตปลอดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า และการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ที่สูบบุหรี่ในเขตปลอดบุหรี่อย่างจริงจัง และ 4) ประสานความร่วมมือกับหน่วยงาน
ที่เกี่ยวข้อง เพื่อบังคับใช้กฎหมาย



ขณะที่ทิศทางระดับประเทศ ศ.พญ.สุวรรณา เรืองกาญจนเศรษฐ์ ประธานกรรมการพัฒนานโยบายสาธารณะประเด็นการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า กล่าวว่า คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) เล็งเห็นถึงปัญหาสำคัญว่าภายใต้วิกฤตเด็กเกิดน้อย หากเด็กที่เกิดมาแล้วสมองยังถูกทำลายด้วยนิโคตินจากบุหรี่ไฟฟ้า จะยิ่งทำให้กลายเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤตเข้าไปอีก จึงได้เดินหน้าขับเคลื่อนเพื่อแก้ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะการทำข้อเสนอมาตรการในการป้องกันบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) จนได้รับความเห็นชอบ เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2568 ซึ่งได้กำหนดชัดเจนถึงบทบาทหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน เช่น กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ฯลฯ ที่จะต้องดำเนินการเพื่อบูรณาการร่วมกันในการแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า
โดยมาตรการดังกล่าว ประกอบด้วย 1) พัฒนาและจัดการองค์ความรู้ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้กับเยาวชนและครอบครัว 2) สร้างการรับรู้ภยันตรายและการเสพติดของบุหรี่ไฟฟ้าในเด็ก เยาวชน ผ่านสื่อสังคมออนไลน์
3) การเฝ้าระวังและบังคับใช้กฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า 4) พัฒนาศักยภาพภาคีเครือข่ายเพื่อสนับสนุนมาตรการป้องกัน และปราบปรามการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า และ 5) ยืนยันนโยบายและมาตรการป้องกัน และปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า
“จากมาตรการเหล่านี้ นำไปสู่การดำเนินการเพื่อป้องกันและแก้ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็น การผลักดันให้เกิดการขยายผลนโยบายโรงเรียนปลอดบุหรี่ ที่พิสูจน์แล้วว่าช่วยลดอัตราการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเด็กลง 40% ไปจนถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น โดยทำให้เกิดการปิดเว็บไซต์ที่ขายบุหรี่ไฟฟ้า และการดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งถ้าถามว่า ต่อไปประเทศไทยจะไปในทิศทางไหน ก็ต้องบอกว่าที่ดำเนินการมานั้นมาถูกทางแล้ว เพียงแต่ว่าต้องทำให้มีความเข้มงวดมากกว่านี้ โดยมีเด็กและเยาวชนเป็นศูนย์กลาง เพื่อให้กิจกรรมที่ดำเนินการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการจะป้องกันได้อย่างแท้จริง” ศ.พญ.สุวรรณา กล่าว

