“เมญ่า-รวิสรา มาตร์มงคล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท MORE COSMETICS CREATION จำกัด เจ้าของฉายา “เจ้าแม่ความงามระหว่างประเทศ” รับเชิญจาก ผศ.ดร.ณุศณี มีแก้วกุญชร คณบดี และ ดร.ชัยวิชญ์ ม่วงหมี รองคณบดี คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา บรรยายพิเศษให้กับนักศึกษาภาควิชาการประกอบการภาคธุรกิจ คณะวิทยาการจัดการ ในหัวข้อ “กลยุทธ์ใหม่ให้คุณยืนหนึ่งในธุรกิจออนไลน์ระหว่างประเทศ” ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา โดยมีคณาจารย์ประจำภาควิชาฯ อ.รัชนก ปัญญาสุพัฒน์,ผศ.ดร.สุดถนอม ตันเจริญ และ อ.เกษสุดา บูรณศักดิ์สถิตย์ เข้าร่วมรับฟังบรรยายในครั้งนี้ด้วย เมญ่า-รวิสรา มาตร์มงคล กล่าวว่า มีนักการตลาดหลายท่านที่กล่าวว่าปัจจัยในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้น เป็นเรื่องของอิทธิพลจากภายนอกเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นสินค้า ลูกค้า ช่องทางการขาย กลยุทธ์การขาย การโฆษณา รวมไปถึงความผันผวนทางเศรษฐกิจ เมญ่าไม่ปฏิเสธค่ะว่าปัจจัยเหล่านั้นมีส่วนสำคัญในการกำหนดความเสร็จของธุรกิจ แต่ถึงอย่างนั้นเราต้องไม่ลืมที่จะให้ความสำคัญกับปัจจัยภายในตัวเราเองด้วย เชื่อว่าทุกอย่าเริ่มต้นจากตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นความคิดริเริ่มในการทำธุรกิจ ความมุ่งมั่นขยันขันแข็ง ความไม่ย่อท้อเมื่อเจออุปสรรค ความกล้าหาญที่จะทดลองและท้าทายทำสิ่งใหม่ๆ การมองหลายๆ มุม ฯลฯ ซึ่งปัจจัยภายในตัวเองนี้ คือ “Mindset” พระพุทธเจ้าตรัสว่า “จิตของเราคือสิ่งที่สร้างโลก” คำกล่าวนี้ไม่เกินจริงและไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องลี้ลับอะไรด้วย ไม่ใช่เรื่องการตั้งจิตอธิษฐาน สวดมนตร์ภาวนา หรือการบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้เกิดพลังงานที่มองไม่เห็นอะไรแบบนั้น แต่ว่าเป็นการสำรวจความคิดของตัวเอง เพื่อที่จะปรับมุมมองและทัศนคติของเราให้ตรงไปหาเป้าหมาย เป็นการตั้งค่าความคิดตั้งแต่แรกเริ่ม ระหว่างการทำธุรกิจ ไปจนถึงวันที่เราประสบความสำเร็จ “Mindset คือความเชื่อที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของคนเรา เป็นกระบวนการทางความคิดที่มีผลต่อความสำเร็จในชีวิตทุกด้านอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการสร้างและพัฒนาตัวเอง ชีวิตครอบครัว หน้าที่การงาน การประกอบอาชีพ รวมไปถึงการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม คนที่มี Mindset ที่ดีมักจะคิด ตอบคำถาม หรือแก้ปัญหาต่างๆ ในชีวิตได้ลุล่วงและประสบความสำเร็จ คนเราเติบโตมาพร้อมกับ Mindset ถ้าจะให้อธิบายให้ชัดอีกหน่อยคงต้องขอยกขึ้นมาอีกสองคำ นั่นก็คือคำว่า “ทัศนคติ” (attitude) และคำว่า “ความเชื่อ” (belief) คนเราเติบโตมาพร้อมกับทัศนคติที่มีต่อตัวเองและโลกรอบตัว และทัศนคตินั้นมันจะก่อให้เกิดความเชื่อในตัวคุณเองค่ะ เช่นคุณอยู่ในสังคมที่อุดมการณ์รักต่างเพศเป็นใหญ่ คุณก็จะเชื่อว่าการเป็นชายจริงหญิงแท้นั้นคือเรื่องปกติ ส่วนการเป็น LGBTQ นั้นคือเรื่องผิดปกติ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท MORE COSMETICS CREATION จำกัด กล่าวด้วยว่า การปรับ Mindset ของเจ้าของธุรกิจนั้น ก็มีความสำคัญไม่แพ้การปรับ Mindset ของผู้บริโภคเลยนะคะ เพราะธุรกิจที่จะประสบความสำเร็จได้ ก็ต้องมาจาก Mindset ที่ถูกปรับให้มองเห็นเป้าหมายซึ่งก็คือความสำเร็จตั้งแต่แรก หากนักธุรกิจไม่รู้จักของความต้องการของตัวเอง ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังขายอะไร หรือให้บริการอะไร มันก็ยากค่ะที่เราเดินไปจนถึงความฝันของเราได้ Mindset ของคนเรามีสองแบบนะคะคือ Mindset แบบยึดติด นั่นคือเราจะเชื่อในทุกอย่างที่เราเป็น หรือทุกอย่างที่เรามี โดยไม่ยอมรับฟังความคิด ข้อมูล หรือคำแนะนำอื่นๆ คนที่มี Mindset แบบนี้ ถ้าพูดภาษาบ้านๆ เราเรียกว่าเป็นคนที่ “น้ำเต็มแก้ว” ค่ะ และเมื่อคุณเชื่อว่าตัวคุณเองผิดพลาด ล้มเหลว มีแต่จุดออ่อนและข้อเสีย นั่นเท่ากับว่าคุณหยุดพัฒนาตัวเอง และแน่นอนถ้าคุณทำธุรกิจ เมญ่ามีให้แค่คำเดียวค่ะคือ “เจ๊ง” ตรงกันข้ามหากคุณมี Mindset แบบเติบโตไปตามตัว นั่นแปลว่าคุณยอมรับความผิดพลาด ล้มเหลว จุดอ่อน และข้อเสียของตัวเอง ในขณะเดียวกันก็เรียนรู้ที่จะแก้ไข ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง พัฒนาพวกมันให้กลายเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นจุดแข็ง จนกลายเป็นข้อดีของตัวคุณเองในที่สุด “การยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเองให้ได้ เป็นจุดเริ่มต้นของพัฒนาการด้าน Mindset ของคุณ เมื่อมันมีความยืดหยุ่นเพียงพอ และพร้อมจะเติบโต คุณจะไม่จมจ่อมอยู่กับความล้มเหลว คุณจะรู้จักปรับมุมมองในการแก้ปัญหา Mindset ที่ดีจะบอกคุณว่าความผิดพลาดในชีวิตหรือในธุรกิจคือประสบการณ์อันมีค่านั่นเอง เมื่อคุณเห็นความสำคัญของ Mindset และฝึกที่จะปรับให้มันเติบโตไปตามประสบการณ์ที่คุณมี เมญ่าเชื่อว่าคุณจะรับมือกับปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับธุรกิจคุณได้ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะแย่แค่ไหน การแข่งขันจะสูงเพียงใด หรือโลกจะหมุนไปไวเท่าไร คุณจะไม่เอาปัจจัยภายนอกเหล่านั้น รวมถึงความไม่สมบูรณ์แบบของคุณมาเป็นข้อจำกัดในการทำธุรกิจ คนเราจะประสบความเร็จได้ คุณต้องแตกต่าง และการที่คุณจะแตกต่างได้นั้น คุณต้องกล้าที่จะก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเองให้ได้ซะก่อน การปรับ Mindset จะทำให้คุณใช้บทเรียนจากความล้มเหลวมาปูเป็นเส้นทางใหม่ และเส้นทางนั้นจะนำไปสู่ความสำเร็จได้ง่ายและมั่นคงกว่าเดิม” เมญ่า นักธุรกิจรุ่นใหม่ กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อเราไม่จำกัด “Mindset” ก็จะ “go inter” การที่เราจะก้าวข้ามพรมแดนเรื่องประเทศกันแล้ว ข้อจำกัดนั้นมีทั้งในแบบที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม เราคุยกันเรื่องข้อจำกัดของจิตใจไปแล้ว และคิดว่ามาถึงจุดนี้ ทุกคนคงจะพอเข้าใจคำว่า Mindset ดีขึ้นแล้ว จึงอยากจะขอพาทุกคนมาก้าวข้ามข้อจำกัดที่เป็นรูปธรรม นั่นก็คือพรมแดนของประเทศกันบ้าง เวลาที่คุณทำธุรกิจ คุณตั้ง Mindset ไว้ในระดับไหนคะ กิจการเล็กๆ ขายในกลุ่มลับๆ ใหญ่ขึ้นมานิดนึงขายกันในท้องถิ่น หรือใหญ่ขึ้นมาอีกนิดนึงส่งขายทั่วประเทศ คุณตั้ง Mindset เอาไว้แค่ไหน มันจะพาคุณไปแค่นั้น สิ่งที่เมญ่าอยากจะบอกเลยก็คือคุณต้อง think big แล้วความสำเร็จของคุณจะยิ่งใหญ่ตาม บางคนกลัวที่จะทำอะไรใหญ่ๆ กลัวที่จะทำอะไรในที่ไกลๆ ที่ตัวเองไม่คุ้ยเคย ไม่รู้จัก ไม่แปลกและไม่ผิด เมญ่าก็เคยเป็น ธรรมชาติของมนุษย์ต่างต้องเลือกการ play safe เอาไว้ก่อน แต่ประสบการณ์ในการเป็น “เจ้าแม่ความงามระหว่างประเทศ” สอนให้เรารู้ว่า คนเรามีศักยภาพที่จะทำอะไรใหญ่ๆ ได้ ถ้าเราตั้ง Mindset ให้ถึงตรงนั้น “เมื่อก่อนสิ่งที่ฝันเลยก็คือการเป็น “เจ้าแม่ความงามระหว่างประเทศ” เมญ่าตั้ง Mindset ของตัวเองเอาไว้ตรงนั้นเลย เมื่อเป้าหมายของเราชัดเจน แน่นอนว่าเส้นทางจะค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา อยากให้ทุกประเทศที่คิดว่าจะมาผลิตเครื่องสำอางในโซนบ้านเรา จะต้องมีชื่อของเมญ่าติดอันดับหนึ่งในสามทุกราย แต่การตั้ง Mindset ของเมญ่านั้นไม่ได้จากความฝันลมๆ แล้งๆ หรือนั่งมโนนึกเอาเอง ทุกอย่างมีความเป็นได้ที่มากพอค่ะ เราอยู่ในวงการผลิตเครื่องสำอางมานานจนมีประสบการณ์ และสามารถมองเห็นมิติต่างๆ ของมัน ประกอบกับเทคโนโลยีในปัจจุบันทำให้โลกของเรานั้นไร้พรมแดนและแคบลง เราสามารถเรียนรู้การดำรงชีวิตของเพื่อนบ้าน หรือแม้กระทั่งคนอีกซีกโลกได้ และนั่นเองทำให้เห็นว่า “ตลาด” ที่อื่นเขาขาดอะไร และเมญ่าจะทำอย่างไรเพื่อไปประกอบธุรกิจที่นั่น ความเจริญหลายๆ อย่างบนโลกทำให้ข้อจำกัดที่เราเคยมีหายไปค่ะ ข้อจำกัดด้านระยะทาง ข้อจำกัดด้านการสื่อสาร ข้อจำกัดด้านภาษา ที่เหลือมันขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเปลี่ยน Mindset ตัวเองไปตามโลกที่หมุนอย่างรวดเร็วนี้หรือไม่ หรือคุณฝังตัวเองไว้แบบฟอสซิลยุคโบราณ แล้วปล่อยให้คนอื่นแซงหน้าคุณไป ก็เท่านั้นเอง” เมญ่า กล่าวว่า หลายคนเข้าใจผิดว่าการขายของนั้นคือการสร้าง “ตัวตน” ให้กับสินค้าเพียงอย่างเดียว แบรนด์หรือเจ้าของธุรกิจนั้นไม่เกี่ยว เมญ่าจะบอกให้นะคะว่านั่นเป็นความคิดที่ผิดมาก ในยุคปัจจุบันที่ตลาดขายของออนไลน์มีการแข่งขันกันสูงมาก การสร้างตัวตนให้กับแบรนด์หรือเจ้าของธุรกิจนั้นมีผลโดยตรงต่อความนิยมของสินค้า รวมไปถึงเลือกว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อด้วย ทั้งนี้ “ตัวตน” ของคนหนึ่งคนนั้นมีมากมายหลายมิติ ไม่จำเป็นว่าจะต้องมีแค่มิติเดียว ตอนอยู่บ้าน ทำงาน อยู่กับเพื่อน คนเราไม่ได้มีตัวตนแบบเดียว ถ้าคุณต้องการที่จะขายของออนไลน์ คุณต้องสร้างตัวตนออนไลน์ของคุณขึ้นมาให้คนรู้จัก ในโลกออนไลน์ที่เวลาเข้าเว็บไซต์ต่างๆ เราจะเห็นว่า Ads แข่งกันเด้งขึ้นมาจนเราปิดแทบไม่ทัน นั่นแสดงความแค่ตัวตนของสินค้าเราไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว เราจะต้องสร้างตัวตนของเราเข้าไปช่วยเพื่อให้ยอดขายได้ตามเป้า “คนที่สร้างตัวตนในโลกการขายของออนไลน์ หรือที่เรียกว่า online personal branding แล้วประสบความสำเร็จมีเยอะมาก คุณมองจะเห็นคนๆ นั้น รู้จักคนๆ นั้น ก่อนที่จะรู้ว่าเขาหรือเธอขายอะไรด้วยซ้ำ คนเหล่านี้ใช้การสร้างตัวตนเพื่อให้ตัวเองเป็นที่รู้จัก พอเป็นที่รู้จักก็จะเริ่มมีอิทธิพลทางความคิด เมื่อมีอิทธิพลทางความคิดก็จะเปลี่ยน Mindset ของคนได้ แล้วในที่สุดก็สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคให้คนหันมาซื้อสิ้นค้าของเขาหรือเธอได้นั่นเอง ขอขอบคุณมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาได้ให้โอกาสเมญ่านำความฝันของการเป็น “ผู้นำทางความคิด” (Key Opinion Leader หรือ KOL) มาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อว่าที่นักธุรกิจและนักการตลาดรุ่นใหม่ที่กำลังจะเป็นฟันเฟืองสำคัญในตลาดออนไลน์ เพราะการเป็น KOL นั้นจะเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดในเรื่องของอิทธิพลทางความคิดที่มีผลต่อ Mindset รวมไปถึงเรื่องธุรกิจและการตลาดในอนาคตด้วย”