Novo Nordisk Pharma เปิดกลยุทธ์การตลาดเชิงสัมพันธ์
มุ่งสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งชูจุดเด่นผู้นำด้านนวัตกรรมการรักษาโรค
บริษัท โนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา (ประเทศไทย) จำกัด เป็นบริษัทยาชั้นนำ ด้านการดูแลรักษาสุขภาพระดับโลก ที่มีนวัตกรรมและความเป็นผู้นำในการคิดค้นและผลิตยา โดยเฉพาะยาสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน มามากกว่า 90 ปี ได้จัดงานสัมมนาเชิงวิชาการภายใต้หัวข้อ “โรคอ้วน ถือเป็นโรคหรือไม่?” โดยในงานได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ อุฟเฟ่อ โวล์ฟเฮชเชล เอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทย ร่วมเป็นประธานในงาน
คุณจอห์น ดอว์เบอร์ รองประธานและผู้จัดการทั่วไป บริษัท โนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “โนโว นอร์ดิสค์ ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 และเป็นที่รู้จักในการเป็นผู้นำด้านการดูแลรักษาโรคเบาหวานมาโดยตลอด โดยผลิตภัณฑ์รักษาโรคเบาหวานของเราสามารถทำรายได้ถึง 90% ของยอดขายของบริษัทมานับตั้งแต่เริ่มต้น สำหรับกลยุทธ์การตลาดในประเทศไทยจะมุ่งเน้นการทำการตลาดเชิงสัมพันธ์ (Relationship Marketing) คือการเรียนรู้ความต้องการของลูกค้าและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพรักษาโรคได้อย่างมีประสิทธิผล ด้วยความเป็นผู้นำในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์มากว่า 90 ปี เราจึงมีความสามารถในการคิดค้นและพัฒนายาที่สามารถแก้ปัญหาให้กับผู้ป่วยได้อย่างแท้จริง
ปัจจุบัน บริษัทโนโว นอร์ดิสค์ ดำเนินงานอย่างไม่หยุดยั้งที่จะวิจัยและพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับโรคเบาหวานและโรคอื่นๆที่อาจเป็นสาเหตุของโรคเบาหวานได้ เช่นโรคอ้วน เพื่อช่วยดูแลและป้องกันให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยตามแนวทางของโนโว นอร์ดิสค์ นั้น จะมุ่งเน้นการดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม เราให้ความสำคัญกับการศึกษาวิจัยทางคลินิกในประเทศไทย เพื่อให้คนไทยได้มีโอกาสเข้าถึงการรักษาที่ดีที่สุด ประกอบกับมีรายงานชี้ว่าในเอเชียตะวันออกฉียงใต้ ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่ประชากรมีน้ำหนักเกินมากเป็นอันดับ 2 รองจากประเทศมาเลเซีย การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของโรคอ้วนในประเทศไทยทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญ และคิดค้นวิจัยผลิตภัณฑ์ในการแก้ไขปัญหาโรคอ้วน ดังนั้นวันนี้เรามีความยินดีที่จะเป็นกระบอกเสียงให้สัมคมหันมาตระหนักรู้ถึงอันตรายของโรคอ้วน และมีนวัตกรรมยาในการแก้ปัญหาดังกล่าว”
ด้านผศ.พญ. ดรุณีวัลย์ วโรดมวิจิตร หัวหน้าสาขาวิชาอายุรศาสตร์ โภชนศาสตร์คลินิก ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งเป็นผู้นำในการบรรยายภายใต้หัวข้อ “โรคอ้วน ถือเป็นโรคหรือไม่?” กล่าวว่า “จากรายงานสุขภาพของคนไทยโดยสำนักงานสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนังสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ และมหาวัทยาลัยมหิดลชี้ว่า คนไทยมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 2 เท่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา นอกจากนั้นตามประมาณการตัวเลขจากสหพันธ์โรคอ้วนคาดว่าในอีก 8 ปี ข้างหน้าจะมีคนน้ำหนักเกินมาตรฐานรวมถึง 2,700 ล้านคนซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด ทั้งนี้ผู้ที่เป็นโรคอ้วนมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอันตรายต่าง ๆ มากมาย อาทิ โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ โรคเข่าเสื่อม นิ่วในถุงน้ำดี และโรคมะเร็งเป็นต้น ทั้งนี้ผู้ที่สงสัยว่าตนเองจะเป็นโรคอ้วนสามารถวัดดัชนีมวลกาย BMI เพื่อประเมินเบื้องต้นได้ แต่อย่างไรก็ตามควร ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อได้รับการประเมินและรักษาที่ถูกต้อง”
ชมะนันทน์ วรรณวินเวศร์ ซึ่งมาให้ความรู้การเขียนและโพสต์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ยาผ่านช่องทางออนไลน์อย่างมีจริยธรรมและถูกกฎหมายได้ให้ความเห็นว่า “ในปัจจุบันผู้บริโภคต้องพบเจอกับการโฆษณาบนสื่อโซเชียลต่าง ๆ มากมายโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการลดน้ำหนัก รวมไปถึงการขายยาลดน้ำหนักผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งนี้ประชาชนที่เป็นผู้บริโภคทั่วไปควรตรวจสอบ รายละเอียดของสินค้า และแหล่งที่มาของข้อมูลว่ามีความน่าเชื่อถือหรือไม่ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าประเภทยา เป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องจำหน่ายโดยสถานพยาบาล และควรได้รับการวินิจฉัยและให้คำแนะนำจากแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น ดังนั้นหากมีการพบเห็นการขายยาผ่านช่องทางออนไลน์ อาจนับได้ว่าเป็นการขายยาปลอมและเป็นการขายยาโดยไม่ได้รับอนุญาต ท่านสามารถร้องเรียนไปที่หน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคหรือแจ้งที่องค์การอาหารและยา (อ.ย.) เพื่อให้มีการดำเนินการตามกฏหมายได้”
###