กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ให้การต้อนรับผู้ว่าราชการจังหวัดโทคุชิมะประเทศญี่ปุ่นพร้อมหารือถึงความร่วมมือส่งเสริม พัฒนาและสนับสนุนผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ระหว่างไทย – ญี่ปุ่น เตรียมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เร็ว ๆ นี้ โดยเน้นผลักดันอุตสาหกรรมศักยภาพสูง อาทิอุตสาหกรรมบริการที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ อุตสาหกรรมยา และการแพทย์ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฮบริดอีวี (Hybrid EV : HEV) พร้อมเผยแผนเดินหน้าต่อยอดขยายความร่วมมือ (DIPROM Connection) กับรัฐบาลญี่ปุ่นระดับท้องถิ่น (Local to Local) หวังกระตุ้นอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ
นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังจากให้การต้อนรับและร่วมหารือกับ นายโกโตดะ มาซาซูมิ ผู้ว่าราชการจังหวัดโทคุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น และคณะ ว่าการพบปะและหารือร่วมกันในครั้งนี้ ระหว่าง กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม และจังหวัดโทคุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นความร่วมมือกับจังหวัดโทคุชิมะที่ต้องการต่อยอดความตั้งใจในการส่งเสริม พัฒนา และสนับสนุนผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ของทั้งสองประเทศ
ซึ่งสอดรับกับนโยบายของดีพร้อม RESHAPE THE FUTURE : โลกเปลี่ยน อุตสาหกรรมปรับ พร้อมรับอนาคตที่มุ่งเน้นให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์การเปลี่ยนแปลง รวมถึงมีศักยภาพในการแสวงหาโอกาสและผลประโยชน์
จากความท้าทายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันผ่านกลไกการขยายเครือข่ายความร่วมมือ หรือ DIPROM Connectionด้วยการบูรณาการกับองค์กรภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงสร้างเครือข่ายในการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการและการถ่ายทอดเทคโนโลยี
นวัตกรรมอันจะเป็นการเพิ่มการเข้าถึงโอกาสของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไทยมากยิ่งขึ้น
“ดีพร้อม และจังหวัดโทคุชิมะมีแนวทางความร่วมมือในการยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม และ SMEsรวมทั้งแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการของทั้งสองประเทศ ผ่านการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ซึ่งจะมีขึ้นในเร็ว ๆ นี้ โดยมุ่งผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมศักยภาพสูงที่ทั้งสองฝ่ายมีความสนใจร่วมกัน อาทิ อุตสาหกรรมยา และการแพทย์อุตสาหกรรมยานยนต์ไฮบริดอีวี (Hybrid EV : HEV) ที่ปัจจุบันมีบริษัทเอกชนรายใหญ่เข้าไปลงทุนและตั้งฐานการผลิตในพื้นที่จังหวัดโทคุชิมะแล้วหลายรายซึ่งสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ของไทย โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ยังคงดำเนินควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์สันดาป (ICE) แห่งสุดท้ายของโลก
นอกจากนี้ ยังเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์และอุตสาหกรรมสนับสนุนให้สามารถปรับเปลี่ยนสายการผลิตไปสู่อุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่มีแนวโน้มเติบโตสูง เช่น อุตสาหกรรมป้องกันประเทศเครื่องมือแพทย์และเครื่องมือแพทย์สำหรับสัตว์เลี้ยง เครื่องจักรกลการเกษตร ชิ้นส่วนหลังการขาย (Aftermarket) การผลิตชิ้นส่วนทดแทน (REM) อุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมการบิน และระบบรางเป็นต้นเพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลกได้อย่างครอบคลุมสมดุล และยั่งยืน”
อธิบดีภาสกร กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ได้สร้างความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชน ประเทศญี่ปุ่นในการยกระดับการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมและเอสเอ็มอีของทั้งสองประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเน้นความร่วมมือกับรัฐบาลระดับท้องถิ่น (Local to Local) ผ่านการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ไปแล้ว 23 แห่ง โดยในปัจจุบันมีผู้แทนจากประเทศญี่ปุ่นมาประจำที่โต๊ะญี่ปุ่น (Japan Desk) ตั้งแต่ปี 2552 – ปัจจุบันเพื่อสร้างเสริมโอกาสในการแลกเปลี่ยนบุคลากรผู้เชี่ยวชาญและถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยี – นวัตกรรมการผลิตต่าง ๆตลอดจนร่วมกันจัดกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจเพื่อขยายโอกาสในการเชื่อมโยงธุรกิจในระดับสากลซึ่งสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ไม่ต่ำกว่า 2,500 ล้านบาท
ทั้งนี้ ดีพร้อม มีแผนที่จะเดินหน้าเจรจาและต่อยอดความร่วมมือ (DIPROM Connection) กับรัฐบาลระดับท้องถิ่น (Local to Local) ผ่านการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับหน่วยงานเป้าหมายในปีนี้ อาทิ จังหวัดนางาซากิ (Nagasaki) จังหวัดซางะ (Saga)และเทศบาลเมืองซาเซโบะ (Sasebo)ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการพัฒนาศักยภาพภาคอุตสาหกรรมด้วยการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่โดดเด่นของแต่ละพื้นที่
อาทิ อุตสาหกรรมอาหาร ประมง และเกษตรแปรรูปอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักร โลหะ และเส้นใย ตลอดจนอุตสาหกรรมการต่อเรือซึ่งมีความเหมาะสมในการนำมาประยุกต์ใช้เพื่อยกระดับและเพิ่มมูลค่าสินค้าของวิสาหกิจชุมชนและอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทยได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันยังเป็นโอกาสอันดีในการพัฒนาและเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ประกอบการระหว่างกันเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของห่วงโซ่อุปทานและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันสู่ระดับสากลอันจะช่วยกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศต่อไป อธิบดีภาสกรกล่าวทิ้งท้าย